ไฮไลท์ของรุ่นนี้อยู่ที่กรอบไฟหน้า Multibeam LED โดดเด่นด้วยการใช้หลอด LED 24 ดวงซึ่งทำงานร่วมกับกล้องและกล่องควบคุมสี่ตัว สามารถตรวจจับรถที่วิ่งสวนมาได้จึงสามารถปรับทิศทางของแสงไฟไม่ให้แยงตาเพื่อนร่วมท้องถนน นอกจากนี้ยังสามารถประเมินโค้งและวงเวียนล่วงหน้าได้ด้วยระบบนำทางเนวิเกเตอร์ก่อนจะให้แสงสว่างเพิ่มทัศนวิสัยสูงสุด
สำหรับรุ่นย่อยมีการเพิ่มเวอร์ชั่น ประหยัดอย่าง CLS 220 BlueTEC ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.1 ลิตร พละกำลัง 170 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ขณะที่รุ่น CLS 250 BlueTEC ใช้เครื่องบล็อกเดียวกันแต่พละกำลังเพิ่มเป็น 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร
รุ่นดีเซลยังมีบล็อก V6 ความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตร พละกำลัง 258 แรงม้า แรงบิด 620 นิวตันเมตรซึ่งวางอยู่ใน CLS 350 BlueTEC
มาที่ขุมพลังเบนซินมีเพิ่มรุ่นย่อย CLS 400 (แทนที่ CLS 350 CGI) วางเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ไบเทอร์โบ ให้พละกำลัง 333 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร ขณะที่รุ่น CLS 500 มีพละกำลัง 408 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร
ตัว ท็อปรหัสแรงคือ CLS AMG และ CLS Shooting Brake AMG ยังคงใช้เครื่องยนต์ V8 ความจุ 5.5 ลิตร ไบเทอร์โบ พลัง 585 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 800 นิวตันเมตร
สำหรับระบบเกียร์มาตรฐานคือ 9G-TRONIC แบบ 9 สปีดซึ่งเน้นความประหยัดน้ำมันมากเป็นพิเศษ รวมถึงความนุ่มนวลขณะเปลี่ยนเกียร์สไตล์รถระดับพรีเมียม ที่สำคัญคือทุกเครื่องยนต์ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 6
เมื่อกวาดตามองรอบคันจะพบว่า CLS รุ่นปรับโฉมมีดีไซน์กันชนหน้าใหม่ที่มีช่องดักอากาศขนาดใหญ่ขึ้น กระจังหน้ามีรูปทรงคล้ายเพชร ขณะที่ไฟท้ายเป็นแบบโคมดำ ภายในห้องโดยสารติดตั้งหน้าจอแปดนิ้วและพวงมาลัยแบบสามก้านดีไซน์ใหม่
เราพร้อมจะเปิดโอกาสให้ทุกท่านสามารถเลือกรถยนต์หรูพร้อมทั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ "Config your Dream Ride" (CDR) ตามใจคุณได้แล้ววันนี้ที่ SPYDER AUTO IMPORT โทร. 02-746-9922