ถ้าพูดถึง SONY หลายๆคนคงคงมีภาพจำขึ้นมาไม่ต่างกันมากนักเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรทัศน์ กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องเล่นเกม PlayStation แต่แล้ววันหนึ่ง SONY ก็ตัดสินใจหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขายเองเพราะพวกเขาได้มีการทำวิจัยและร่วมค้นคว้าเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2014 มาแล้ว รวมถึงการวางเครือข่ายและร่วมทุนกับบริษัทต่างๆอีกด้วย
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2020 ตามเวลาใน Las Vegas สหรัฐอเมริกา ณ งานมหกรรม CES 2020 ทาง CEO ของ Sony คุณ Kenichiro Yoshida ได้เผยโฉมรถต้นแบบคันใหม่ของ Sony ที่มีชื่อว่า VISION-S ซึ่งเป็นรถที่สร้างขึ้นมาเพื่อแสดงแสงยานุภาพทางเทคโนโลยีอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ของ Sony สามารถพัฒนามาให้ใช้กับยานยนต์ในวันนี้ และวันหน้า โดยครอบคลุมทั้งด้าน ความปลอดภัย ความบันเทิง และ ความสามารถในการสื่อสารและอำนวยความสะดวก
ในช่วงแรก VISION-S ไม่ใช่รถที่ SONY คิดทำออกมาเพื่อวางตลาด แต่เพื่อแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีของบริษัท ว่าพวกเขาสามารถนำสิ่งต่างๆที่ทางบริษัทมีพร้อมจำหน่ายหรือคิดค้นเอาไว้ มาประกอบเข้ากันเป็นรถหนึ่งคัน มันจะมีขีดความสามารถมากขนาดไหนและมีลักษณะเป็นอย่างไร
แต่เมื่อช่วงต้นปีนี้เองในงาน CES 2022 หรือ มหกรรมจัดแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ “International Consumer Electronics Show” นอกจากสื่อภาพยนตร์ วีดีโอเกม และเทคโนโลยีต่างๆแล้ว ในช่วงท้ายของการจัดแสดงโดย SONY Kenichiro Yoshida ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sony Group ก็ได้เปิดตัว VISION-S 2 พร้อมแจ้งว่า บริษัทจะเปิดตัว Sony Mobility Inc. เพื่อรับผิดชอบการวิจัย และทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
ในส่วนของ Sony Vision-S 01 นั้นได้เริ่มต้นพัฒนากันในช่วงปลายปี 2020 แล้วแต่จวบจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการก้าวข้ามจากรถแนวคิดไปสู่การผลิตจริงแต่อย่างใด โดยข้อมูลคร่าวๆของเจ้ารถคันนี้นั้น ตัวรถมีความยาว 4,895 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร สูง 1,450 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้ออยู่ที่ 3,000 มิลลิเมตรน้ำหนักตัวถัง 2,350 กิโลกรัม ความสูงจากจุดต่ำสุดของรถถึงพื้น 120-135 มิลลิเมตร (ขึ้นอยู่กับการปรับความสูงช่วงล่าง) โดยรวมแล้ว VISION-S นั้น มีขนาดตัวถังสั้นกว่า แคบกว่า แต่สูงกว่า Tesla Model S อยู่เล็กน้อย
ขุมพลังขับเคลื่อนของรถ มีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด แยกชุดขับเคลื่อนสำหรับล้อคู่หน้า/หลัง ให้กำลังตัวละ 200kW ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วงล่างแบบถุงลม ควบคุมด้วยไฟฟ้า เป็นแบบดับเบิลวิชโบนทั้งหน้าและหลัง ยางหน้าขนาด ในส่วนของสมรรถนะ SONY เคลมว่าสามารถทำได้จาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
มาถึงเจ้า Sony Vision-S 02 ที่เปิดตัวในงาน CES 2022 กันบ้าง โดยรถคันนี้ก็ใช้แพลตฟอร์มแบบเดียวกับรถยนต์ต้นแบบซีดาน Vision-S 01 ที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่มีตัวถังที่สูงกว่า ไฟหน้ารูปอัลมอนด์เชื่อมต่อกับกระจังหน้าแบบเรืองแสง กันชนมีช่องไอดีแบบบาง โปรไฟล์มีเงาตามหลักอากาศพลศาสตร์พร้อมการปรับสีแบบทูโทนและล้อขนาด 20 นิ้วในขณะที่ส่วนหลังติดตั้งชุดไฟ LED แบบยาว แนวหลังคาของรถอาจจะดูแปลกตาเพื่อรองรับที่นั่งสูงสุด 7 ที่นั่ง ด้วยเบาะเสริมแถวที่สามในส่วนท้ายของตัวรถ
Sony Vision-S 02 นั้นสามารถเปรียบได้กับ Tesla Model X ด้วยรูปแบบของตัวรถที่ออกไปทาง SUV Urban ซึ่งโฟกัสกับการใช้งานในเขตชานเมืองเป็นหลัก มีมิติตัวรถ ที่ยาว 4,895 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,030 มิลลิเมตร กว้าง 1,930 มิลลิเมตร และสูงโดยรวม 1,650 มิลลิเมตร มีระยะห่างจากพื้นที่เพิ่มขึ้นจาก Vision-S 01 157 มิลลิเมตร โดยมีน้ำหนักตัวที่ 2,480 กิโลกรัม
Vision-S 01 และ 02 นั้นมีการใช้แพลตฟอร์มร่วมกัน โดยจะมีระบบกันสะเทือนแบบปีกนกคู่พร้อมสปริงลมและระบบส่งกำลังแบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบมอเตอร์คู่ที่ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว โดยแต่ละตัวให้กำลัง 268 แรงม้า (HP) สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 127 ไมล์ต่อชั่วโมง (180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งจะต่างจาก Vision-S 01 และน้ำหนักที่มากกว่าของ Vision-S 02 ก็พอจะทำให้คาดการณ์กันได้ว่าน่าจะมีอัตราเร่งนี่น้อยกว่าตัวก่อนหน้า
ดีไซน์ภายในนั้นก็ยังคงคล้ายกับ Vision-S 01 มากเช่นกัน ประกอบด้วยจอแสดงผลขนาดยักษ์สามจอ ด้านซ้ายทำหน้าที่เป็นแผงหน้าปัด ตรงกลางเป็นอินเทอร์เฟซหลักสำหรับระบบ Infotainment และด้านขวาสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า ผู้โดยสารแถวที่สองมีหน้าจอเพิ่มเติมอีก 2 จอด้วยเช่นกัน รวมทุกหน้าจอในห้องโดยสารแล้วตัวรถ Vision-S 02 จะมีหน้าจอทั้งสิ้น 9 จอด้วยกัน
ภายในห้องโดยสารมีการติดตั้งระบบเสียง 360 Reality Audio ความสามารถในการใช้งานระบบ Bravia Core กับโทรทัศน์รุ่นท๊อป การเชื่อมต่อกับสัญญาณ 5G และคุณสมบัติในการเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซล PlayStation ที่ทำให้ผู้โดยสารเพลิดเพลินกับการเล่นเกมผ่านหน้าจอในขณะเดินทาง
ในด้านความปลอดภัยทาง SONY ก็ใส่ใจในรายละเอียดเช่นกัน โดยได้ใส่เซ็นเซอร์หลายตัวที่ให้การมองเห็นแบบ 360 องศารอบตัวรถ เซนเซอร์เหล่านี้ประกอบด้วยเซนเซอร์ภาพ CMOS ช่วงไดนามิกกว้าง ความไวสูง ความละเอียดสูง และเซนเซอร์ LiDAR ที่ตรวจจับพื้นที่สามมิติได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งพวกเขาเองยังมีการดำเนินการทดสอบการตรวจสอบการทำงานในยุโรปเพื่อเปิดตัวระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ขั้นสูงระดับ 2+ บนถนนสาธารณะ
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยที่บริษัทด้านเทคโนโลยีที่เรารู้จักกันดีจะเข้ามามีส่วนช่วยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้น และก็น่าสนใจว่าในปัจจุบันเองบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นเริ่มเดินหน้าโครงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เช่น Apple ที่มีข่าวออกมาล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ และมี Startup มากมายที่ขายโครงการรถยนต์ไฟฟ้าจนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีมูลค่ากิจการเกินค่ายผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมแม้ยังไม่เคยจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแม้แต่คันเดียว หากใน 1-2 ปีข้างหน้า ถ้าโลกหมุนไปไวกว่านี้ เราอาจจะได้เห็น Sony ก้าวเข้าสู่ตลาดยานยนต์แบบเต็มตัวเพื่อที่จะทำให้บริษัทใหม่ของพวกเขาไม่ตกกระแสไป